มุ่งมั่นสร้างสรรค์ความเชื่อมั่นในคุณค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนาการออกแบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และให้บริการดีเลิศแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังคงมุ่งมั่นที่จะแสวงหาโอกาสและทางเลือกการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตรวมไปถึงขยายฐานธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่ผู้ถือหุ้นอีกด้วย
ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัท
เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) “SPCG”) ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
ทั้งด้านการบริหารจัดการองค์กร
และการพิจารณาโอกาสในการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งจากมิติเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่
ภาวะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ซึ่งเป็นผลมาจากความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของความมั่นคงทางอาหารและพลังงานกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลกอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 รวมไปถึงมิติสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีนัยสำคัญ
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และสังคมดิจิทัลยุคใหม่
นำมาซึ่งความท้าทายในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาศักยภาพของ SPCG
รวมทั้งให้ความสำคัญต่อมาตรการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
(Emerging Risk)กับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นใหม่ทั้งในระยะสั้น
และระยะยาว เพื่อรักษาความต่อเนื่องในทุกกิจกรรมทางธุรกิจของ SPCG โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ลูกค้า ผู้ถือหุ้น รวมถึงทีมงานทุกคน SPCG มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของผู้บริหาร
และพนักงาน ภายใต้แนวทาง “New Normal Concept” ในขณะเดียวกัน
SPCG ได้มีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท
SPCG ในฐานะผู้บุกเบิกและพัฒนาธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ถือเป็นพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และเป็นพลังงานทางเลือกที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้า
ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายด้านต้นทุน สามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สาเหตุสําคัญของการเกิดภาวะโลกร้อนประกอบกับวิกฤตการณ์ค่าไฟฟ้าแพงและกระแสความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
ส่งผลให้เกิดการลงทุนอย่างมหาศาล ช่วยสร้างงาน
สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติ
สามารถนำพาสังคมโลกก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon
Society) ในประชาคมอาเซียน
ปัจจุบัน SPCG มีโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้งหมด 36 โครงการ
กระจายอยู่ในพื้นที่ 10 จังหวัด
ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม เลย สุรินทร์ บุรีรัมย์
และลพบุรี รวมเนื้อที่ดินกว่า 5,000 ไร่
กำลังการผลิตรวมกว่า 260 เมกะวัตต์
มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทย
เป็นผู้นำการผลิตและการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาค ASEAN เป็นผู้นำการใช้พลังงานสะอาด
ผู้นำในด้านการลดโลกร้อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ลดการนำเข้าเชื้อเพลิง ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
ลดสภาวะความยากจนในภูมิภาค อันเนื่องมาจากการจ้างงาน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเนื่องจากการลงทุน
ช่วยรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
เกิดความยั่งยืนส่งผ่านไปยังอนุชนรุ่นหลัง
SPCG ได้ขยายธุรกิจการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อโครงการ “Tottori Yonago Mega Solar Farm” ณ เมืองทอตโตะริ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 30 เมกะวัตต์ ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี 2561, โครงการ “Ukujima Mega Solar Project” ณ เมืองซาเซโบ จังหวัดนางาซากิ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ และโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ณ เกาะคิวชู (Kyushu) เมืองมิยาโกะ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 67 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น North Phase 23 เมกะวัตต์ และ South Phase 44 เมกะวัตต์ รวมถึง SPCG ยังได้ขยายธุรกิจ การลงทุนในโครงการ IMARI Biomass เมืองอิมาริ จังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้งรวม 46 เมกะวัตต์ อีกด้วย ปัจจุบัน SPCG มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รวมกว่า 400 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ SPCG ได้ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังการผลิตติดตั้งรวมไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ ผ่านบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด (SET ENERGY) โดยได้ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์